อารยธรรมเกาหลี

เครื่องดนตรีที่สำคัญ
ได้แก่ กายา-กุม มีลักษณะคล้ายขิม มี 12 สายบรรเลงเพลงได้เกือบทุกประเภท เกียวมุน- โก มี 7 สาย ให้เสียงลี้ลับและอ่อนละมุน
ธงชาติเกาหลี มีชื่อเรียกว่า เททัคคี (Taegukki)
มีฐานรากและความหมายมาจากปรัชญาตะวันออก มีรูปวงกลมอยู่ตรวกลาง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน และเหมือนกันแต่กลับหัวกันเป็นเครื่องหมาย หยิน (Yin) และหยาง (Yang)
เครื่องหมายหยาง เป็นสีแดงอยู่ข้างบน หมายถึงพลังอำนาจทางด้านดี และเครื่องหมายหยินสีน้ำเงินอยู่ข้างล่าง หมายถึงพลังอำนาจทางร้าย ความหมายรวมสำคัญที่ต้องการแสดงว่า ถึงแม้มีการเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งในขอบเขตอันไม่สิ้นสุดของจักรวาล แต่ขณะเดียวกันก็มีความสมดุลและกลมกลืนด้วยเช่นกัน ส่วนเครื่องหมาย 4 อย่างที่อยู่แต่ละมุมแสดงถึงลักษณะสำคัญในจักรวาล 4 อย่าง สวรรค์ ดิน ฟ และน้ำ เป็นต้น
อาหารเกาหลี - ที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี ได้แก่ เนื้อย่าง เรียกว่า พูลโกกี (Pulgogi) เป็นชิ้นเนื้อแช่น้ำซีอิ๊วผสมงาและเครื่องเทศ แล้วนำมาปิ้งบนตะแกรงบนเตาไฟที่จัดวางไว้ที่โต๊ะอาหาร
![]() |
ซินซอลโล (Sinsonlo) |
ซินซอลโล (Sinsonlo) เป็นอาหารประเภทต้มใส่ผัก ไข่ และเนื้อ ใส่ในหม้อปรุง ตั้งไฟให้ร้อนบนโต๊ะอาหาร
กิมจิ (Kimchi) เป็นผักดองที่มีรสเผ็ดจัด มีการทำกิมจิและบริโภคกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณจนกลายเป็นวัฒนธรรมสำคัญของเกาหลี มีเทศการทำกิมจิกันในช่วงเดือนพฤศจิกายนและต้นเดือนธันวาคมของทุกปีเพื่อเก็บไว้กินตลอกฤดูหนาว มีการทำกิมจิทั้งในเมืองและชนบท กิมจิจะทำด้วยผักกาดขาว ผักกาดหัว เกลือ ผักชีฝรั่ง ต้นหอมสด พริกแดง กระเทียม กุ้ง ปลา หมึก หอยนางรม และผลไม้บางประเภท เช่น แอปเปิ้ล เกาลัด และลูกแพร์ เป็นต้น รัฐบาลเกาหลีได้หยิบยกเรื่องกิมจิโฆษณาให้ต่างชาติรู้จักกันทั่วโลกถึงวัฒธรรมอันเก่าแก่ของเกาหลีควบคู่ไปกับความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีการสร้างพิพิธภัณฑ์กิมจิ ที่สถานีรถไฟใต้ดินซุงมูโล (Sung Mulo) ใจกลางกรุงโซ เพื่อแสดงสิ่งของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ทำกิมจิ วิธีทำและตำราเกี่ยวกับกิมจิทุกชนิดซึ่งมีมากกว่า 30 ชนิด มีรสชาติและวิธีทำแตกต่างกันออกไปตามจังหวัดและภูมิภาค
![]() |
กิมจิ (Kimchi) |
โสมเกาหลี เป็นสินค้าสัญลักษณ์ประจำชาติเกาหลี จนให้ประเทศเกาหลีได้ชื่อว่าเป็นประเทศโสมขาว (เกาหลีใต้) และประเทศโสมแดง (เกาหลีเหนือ) โสมเป็นพืชสมุนไพรพันธุ์เตี้ย สูงประมาณ 5-12 นิ้ว ขึ้นอยู่ตามไหล่เขา ทางน้ำเซาะระหว่างภูเขา และร่มไม้ขนาดใหญ่ เพราะโสมมีความไวต่อแสงแดดมาก โสมจะขึ้นได้ดีที่สุดในอากาศเหมาะสมมีอุณหภูมิประมาณ 70 อาศาฟาเรนไฮต์ ดินที่มีแร่ธาติอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำที่ดี และมีปริมาณฝน 1,300 มิลลิเมตรต่อปี โสมจะต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโต การปลูกโสมเพื่อการค้า ผู้ปลูกต้องเอาใจใส่อย่างดีเพื่อจะได้รักษาโสมที่มีคุณค่าคุณภาพสูง
![]() |
โสมเกาหลี |
โสมเกาหลี แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือโสมแดงและโสมขาว
โสมแดง จะใช้รากที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป ใช้กรรมวิธีผึ่งและตากแห้ง ทำโสมมีสีแดง และบรรจุหีบห่อด้วยกระบวนการพิเศษ มีราคาแพงมาก
โสมขาว ทำจากโสมที่มีอายุ 4-5 ปี ใช้วิธีล้างและตากแห้งด้วยแดด ทำให้โสมขาวมีสีเหลืองหรือสีครีม
ยุคเผ่าและอาณาจักรโชซ็อนโบราณ
ในยุคแรกดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ เผ่าแรกที่ปรากฏคือเผ่าโชซ็อนโบราณ ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือ เรืองอำนาจในช่วงพ.ศ. 143 – 243 ส่วนเผ่าอื่นได้แก่เผ่าพูยอ อยู่บริเวณปากแม่น้ำซุงคารีทางแมนจูเรียเหนือ เผ่าโคกูรยออยู่ระหว่างแม่น้ำพมาก และแม่น้ำอัมนก เผ่าอกจออยู่บริเวณมณฑลฮัมกย็อง เผ่าทงเยอยู่บริเวณมณฑลคังว็อน และเผ่าสามฮั่นคือ มาฮั่น ชินฮั่น และพยอนฮั่น ที่อยู่บริเวณแม่น้ำฮั่นและแม่น้ำนักดง ทางภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี
ตำนานที่เป็นที่แพร่หลายในประเทศเกาหลีเล่าถึงกำเนิดของชนชาติตนว่า เจ้าชายฮวางวุง โอรสของเทพสูงสุดบนสวรรค์ลงมาสร้างเมืองที่ภูเขาแทแบ็ก ได้แต่งงานกับหญิงที่มีกำเนิดจากหมี มีโอรสชื่อตันกุน ต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโชซ็อนโบราณ เมื่อ 1790 ปีก่อนพุทธศักราช
ดินแดนคาบสมุทรเกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นจีนเมื่อ พ.ศ. 434 เมื่อจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้หรือกวนอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นยกทัพเข้ายึดครองดินแดนของอาณาจักรโชซ็อนโบราณ และแบ่งเกาหลีเป็น 4 มณฑล คือ อาณาจักรนังนัง ชินบอน อิมดุน และฮย็อนโท อย่างไรก็ตาม จีนปกครองมณฑลนังนังอย่างจริงจังเพียงมณฑลเดียว มณฑลอื่น ๆ จึงค่อย ๆ แยกตัวเป็นเอกราช จน พ.ศ. 856 ชนเผ่าโคกูรยอเข้ายึดครองมณฑลนังนัง ขับไล่จีนออกไปได้สำเร็จ การตกเป็นเมืองขึ้นของจีนทำให้เกาหลีได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมาก เช่นตัวอักษรและศาสนา (พุทธและขงจื๊อ)
ยุคสามก๊ก
เมื่อเป็นเอกราชจากจีน ดินแดนเกาหลีในขณะนั้นแบ่งเป็น 3 อาณาจักรด้วยกันคือ
อาณาจักรโคกูรยอ ทางภาคเหนือ เผ่าโคกูรยอเริ่มเข้มแข็งมากขึ้นเมื่อราชวงศ์ฮั่นของจีนล่ม สลาย และสามารถขยายอำนาจเข้ายึดครองมณฑลนังนังจากจีนได้เมื่อพ.ศ. 856อาณาจักรแพ็กเจ ชนเผ่าแพ็กเจซึ่งเป็นเผ่าย่อยของเผ่าพูยอที่อพยพลงใต้ เข้ายึดครอง อาณาจักรอื่นรวมทั้งอาณาจักรเดิมของเผ่าฮั่น ตั้งเป็นอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. 777อาณาจักรชิลลา อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พัฒนาขึ้นจากเผ่าซาโร แต่ อาณาจักรนี้ไม่เข้มแข็งมากนักในช่วงแรก ดำเนินนโยบายเป็นมิตรกับโคกูรยอตลอดจนกระทั่งหลังสงครามระหว่างโคกูรยอกับแพ็กเจ อาณาจักรชิลลา จึงเข้มแข็งขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถยึดครองลุ่มแม่น้ำฮั่นและลุ่มแม่น้ำนักดง จากแพ็กเจได้
ยุคอาณาจักรเหนือใต้
เมื่อสิ้นสุดสมัย 3 อาณาจักรนั้น อาณาจักรชิลลาถือว่าเป็นผู้มีชัยเหนืออาณาจักรอื่นบนคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด ในทางประวัติศาสตร์ถือว่ายุคสมัยนี้ อาณาจักรชิลลาเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินเกาหลีให้เป็นผืนเดียวกันได้เป็นครั้งแรกนับแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์เป็นต้นมา จึงเรียกว่า ยุคชิลลารวมอาณาจักร ช่วงยุคสมัยนี้นับจากปีที่อาณาจักรโคกูรยอและอาณาจักรแพ็กเจล่มสลายลงไปใน พ.ศ. 1211 และสืบเนื่องไปจนถึง พ.ศ. 1478 แต่ที่จริงแล้ว อาณาจักรชิลลาไม่ได้ครอบครองดินแดนทั้งหมดไว้ ที่ครอบคลุมได้ทั้งหมดนั้นเพียงดินแดนทางตอนใต้เท่านั้น แม้แต่ดินแดนของโคกูรยอเดิม ชิลลาก็ได้มาเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่เพียงที่ต้องยกคาบสมุทรเหลียวตงให้กับจีน แต่ดินแดนทางเหนือจรดไปถึงแมนจูเรียตกอยู่ในการควบคุมของอาณาจักรเกิดใหม่อีกอาณาจักรหนึ่ง ชื่อว่า อาณาจักรพัลแฮ หรือเรียกว่า ป๋อไห่ ในชื่อเรียกตามภาษาจีน ในยุคสมัยนี้ นักประวัติศาสตร์บางท่านจึงจัดว่าเป็นยุคอาณาจักรเหนือใต้ของเกาหลี
ยุคสามอาณาจักรหลัง
หลังจากอาณาจักรพัลแฮถูกราชวงศ์เหลียวตีจนแตกนั้นประชาชนพากันอพยพลงใต้มาบริเวณอาณาจักรโคกุเรียวเดิม แล้วเชื้อพระวงศ์ของ อาณาจักรพัลแฮ ก็สถาปนาอาณาจักรใหม่บริเวณอาณาจักรโคกุเรียวเดิม แล้วให้ชื่อว่า "อาณาจักรโคกูเรียวใหม่" แล้วสถาปนาตนเองป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้ากุงเย ส่วนชาวแพ็กเจที่อยู่ในอาณาจักรรวมชิลลาก็ได้ก่อกบฏต่ออาณาจักร มีหัวหน้าคือ คยอน ฮวอน แล้วไปตั้งถิ่นฐานที่บริเวณอาณาจักรแพ็กเจเดิม แล้วให้ชื่อว่า "อาณาจักรแพ็กเจใหม่" แล้วสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าคยอน ฮวอน แล้วทำการก่อกบฏต่ออาณาจักรรวมชิลลา ทำให้ชิลลาเกิดความระส่ำระส่าย จึงถือเป็นยุคสามอาณาจักรยุคหลัง
ยุคราชวงศ์โครยอ
วังฮูมาสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งราชวงศ์โคเรียวเมื่อ พ.ศ. 1486 อาณาจักรนี้เจริญสูงสุดในสมัยกษัตริย์มุนจง ยุคนี้เป็นยุคที่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีการทำสงครามกับพวกญี่ปุ่นและมองโกล ถูกจีนควบคุมในสมัยราชวงศ์หยวน จนเมื่ออำนาจของราชวงศ์หยวนอ่อนแอลง อาณาจักรโครยอต้องพบกับปัญหาโจรสลัดญี่ปุ่นและการรุกรานของราชวงศ์หมิง ในที่สุดทำให้ฝ่ายทหารมีอำนาจมากขึ้นจนนำไปสู่การยึดอำนาจของนายพล อีซองกเย และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1935
ยุคราชวงศ์โชซ็อน
นายพล ลี ซองเกสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งราชวงศ์โชซ็อน ในสมัยนี้ส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นลัทธิประจำชาติและเริ่มลดอิทธิพลของพุทธศาสนา สมัยกษัตริย์เซจงมหาราช ทรงประดิษฐ์อักษรฮันกึลขึ้นใช้แทนอักษรจีน
จักรวรรดิเกาหลี
จักรวรรดิเกาหลี หรือ แทฮันเจกุก (อังกฤษ: The Greater Korean Empire ; เกาหลี: 대한제국, ฮันจา: 大韓帝國, MC: Daehan Jeguk, MR: Taehan Chekuk) คือราชอาณาจักรโชซ็อนที่ประกาศยกสถานะของรัฐจากราชอาณาจักรเป็นจักรวรรดิ ตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าโกจง พร้อมกับการเปลี่ยนพระอิสริยยศจาก กษัตริย์ เป็น จักรพรรดิ โดยพระองค์มีพระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิควางมูแห่งจักรวรรดิเกาหลี เพื่อให้ประเทศเอกราชจากจักรวรรดิชิง และยกสถานะของประเทศมีความเท่าเทียมกับจักรวรรดิชิง และ จักรวรรดิญี่ปุ่น แม้ว่าโดยพฤติการณ์แล้วสถานะของเกาหลีไม่ได้เข้าข่ายการเป็นจักรวรรดิเลยก็ตาม จนกระทั่งถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครองในปี พ.ศ. 245
เกาหลียุคใหม่
ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ประมาณ ค.ศ. 1876 เกาหลีเปิดประเทศติดต่อกับต่างชาติเนื่องจากสภาพที่ตั้งบนคาบสมุทรเกาหลีที่เปรียบเทียบเสมือนสะพานเชื่อมเกาหลีกับจีน แมนจูเรียและรัสเซีย ตลอดจนความสำคัญทางจุดยุทธศาสตร์ ทำให้เกาหลีต้องเป็นสมรภูมิรบหลายครั้ง เช่น สงครามจีน-ญี่ปุ่น (Chinese-Japanese War, ค.ศ. 1894-1895) และสงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย (Japanes-Russian War ค.ศ.1904-1905) เกาหลีเป็นประเทศที่พยายามหลีกเลี่ยงสงครามด้วยการใช้นโยบายแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวและยึดมั่นในสันติภาพจนได้รับสมญาว่า รัฐฤษษี (The Hermit State) แต่เกาหลีก็ไม่อาจหลุดพ้นจาการคุกคามของชาติที่มีอิทธิพลคือญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเกาหลีมีความสำคัญต่อญี่ปุ่นอย่างมากทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ การสงครามและผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของญี่ปุ่นจากการติดต่อกับส่วนอื่น ๆ ของเอเชีย ญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะเข้ามายึดครอง มีบทบาทอละอิทธิพลอย่างเต็มที่ในเกาหลีตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ในที่สุดวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1910 ญี่ปุ่นได้ยึดครองและบังคับให้เกาหลีลงนามยอมเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่น เกาหลีต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองจจองญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง35 ปี สร้างความขมขื่นและเกลียดชังให้แก่ชาวเกาหลีอย่างมาก เพราะญี่ปุ่นได้กอบโกยตักตวงผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานของเกาหลี ขู่บังคับให้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการ เปลี่ยนชื่อเป็นแบบญี่ปุ่น สนับสนุนให้นับถือศาสนาชินโต ตั้งหน่วยสืบราชหารลับเพื่อสอดส่องจับกุมผู้ขัดขืน ย้ายโรงงานอุตสาหกรรมของเกาหลีไปอยู่ทางภาคเหนือ และให้ภาคมต้เป็นแหล่งเกษตรเพื่อเป็นอู่ข้าวอู่น้ำให้กับญี่ปุ่น มีการโอนกิจการธนาคาร การคมนาคมขนส่งและสหกรณ์ ให้ไปอยู่ภายใต้การอำนวยการของบริษัทบูรพาแห่งญี่ปุ่น เพื่อนำผลประโยชน์รายได้ส่งให้แก่ญี่ปุ่น
ชาวเกาหลีได้รับการกดขี่และเดือดร้อนยากลำบากมาก ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1919 ชางเกาหลีได้จัดตั้งขบวนการกู้ชาติ (The Independence Moverment) ทำการต่อสู้ ซุ่มทำร้ายและทำลายชีวิตทรัพย์สินของทหารและพลเรือนญี่ปุ่นโดยทั่วไป ผู้ปกครองญี่ปุ่นจึงได้กวาดล้างขบวนการกู้ชาติอย่างทารุณโหดร้าย ทำให้ชาวเกาหลีนับแสนคนต้องอพยพหลบหนีไปอาศัยบริเวณกันโก (Kun-go) ซึ่งอยู่ทางเหนือติดกับจีนและรัสเซีย ส่วนปัญญาชนและผู้มึฐานะดีได้อพยพไปตั้งหลักแหล่งที่เกาะฮาวายและแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐอเมริกา บางกลุ่มก็ไปอยู่เซียงไฮ้และเมืองใหญ่ ๆ ของจีน พวกเหล่านี้ได้ลักลอบส่งเงิน อาวุธ และความช่วยเหลือต่าง ๆ มาให้ชาวเกาหลีในประเทศสู้รบกับญี่ปุ่น
ขบวนการกู้ชาติเกาหลีแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มชาตินิยมและเสรีนิยม กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ จุดประสงค์สำคัญ คือ การกู้ชาติให้เป็นอิสระโดยไม่คำนึงถึงลัทธิการเมืองหรือผลลัพธ์อื่นที่จะตามมาในอนาคต
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดพร้อมกับการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น เกาหลีจึงได้รับเอกราชในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ซึ่งถือว่าเป็นวันอิสรภาพ (Liberation Day) และเป็นวันหยุดราชการในปัจจุบัน ในเวลาเดียวกัน เกาหลีได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ ตรงเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ซึ่งเป็นเขตปลอดทหาร (The Demilitarized Zone)

เกาหลีเหนือเรียกชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐประชาชนเกาหลี (The Democratic People’s Republic of Korea) มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ นายคิม อิลซึง (Kim ll Sing) เป็นผู้นำประเทศ จัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1948
นับตั้งแต่นั้นมา เกาหลีใต้และเกาหลีเหนือต่างมีฐานะเป็นประเทศอิสระ และต่างก็เริ่มบูรณะประเทศของตนต่อไป กองทัพของสหรัฐอเมริกาซึ่งได้รับมอบหมายจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นผู้ดูแลเกาหลีใต้ได้ถอนตัวออกจากเกาหลีใต้เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1949 หลังจากสิ้นสุดพันธะที่ต้องคุ้มครองเกาหลีใต้แล้ว มีผลทำให้ประสิธิภาพและกำลังอาวุธในการป้องกันเกาหลีใต้ลดลง ในขณะที่เกาหลีเหนือได้รับการเสริมกำลังทหารและอาวุธจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง
สงครามเกาหลี
No comments:
Post a Comment